April 27, 2024

ห้องนิทรรศการสถาบันศิลปวัฒนธรรม

ห้องนิทรรศการของทางสถาบันศิลปวัฒนธรรม ได้จัดแสดงประวัติความเป็นมาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพและ พระปรีชาสามารถ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่๙

ห้องนิทรรศการตั้งอยู่ที่ อาคาร เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ พื้นที่ เทคนิคกรุงเทพ ชั้น2 ฝั่งR เปิดให้เข้าชม เวลา 9.00น.ถึง 16.00น.

โดยในห้องจัดนิทรรศการไว้ ๘ นิทรรศการไว้ดังนี้

1.1 บริเวณหน้านิทรรศการ

1.พระมหากษัตริย์แห่งการเกษตร

ตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงทุ่มเทพระวรกาย พัฒนาประเทศเพื่อสร้างความผาสุขให้ปวงชนชาวไทย โดยเฉพาะด้านการเกษตร และได้รับพระราชสมัญญาว่าทรงเป็น “กษัตริย์เกษตร” ทรงมีโครงการพระราชดำริด้านการเกษตรหลายโครงการ อย่างโครงการฝนหลวงที่ช่วยขจัดความทุกข์ยากของพสกนิกรในถิ่นทุรกันดาร ที่ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำบริโภคและเพื่อเกษตรกรรม อันเนื่องมาจากความแห้งแล้ง จึงโปรดเกล้าฯ จัดตั้ง “โครงการฝนหลวง”เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ห่างไกลแหล่งน้ำ และประสบกับปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่อใช้ทางด้านการเกษตร โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่สร้างแหล่งเรียนรู้ทางด้านการเกษตร ส่งเสริมความรู้ทางด้านเทคโนโลยีด้านการเกษตร ที่จะช่วยเพิ่มผลผลิตและสร้างแรงจูงใจกระตุ้นเศรษฐกิจการผลิตด้านการเกษตร โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อการเพาะปลูกและระบบชลประทานเพื่อการเกษตร โครงการธนาคารโคกระบือ เพื่อให้เกษตรกรยากจนมีโคกระบือเป็นของตนเอง โครงการไร่นาสวนผสม เพื่อให้เกษตรกรใช้ที่ดินเกิดประโยชน์สูงสุด พระองค์ยังทรงเน้นการค้นคว้า ทดลอง วิจัยหาพืชพันธุ์ใหม่ๆ ทั้งพันธุ์พืชเศรษฐกิจ เช่น หม่อนไหม ยางพารา ที่พัฒนาให้เป็นไปตามหลักวิชาการ และครบวงจร

ทีมงานรักบ้านเกิด จึงได้น้อมนำพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทด้านการเกษตร ในโอกาสต่าง ๆ บางส่วนเพื่อเผยแพร่ให้กับพี่น้องเกษตรกรไทย ดังนี้

“เมืองไทยนี้ต้องพึ่งเกษตรกรเป็นสำคัญ เพราะว่าเกษตรกรเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศและต้องยึดอาชีพนี้มาและไม่ใช่เพราะเหตุนั่นเท่านั้นเอง แต่ว่าประเทศหนึ่งประเทศใดจะอยู่ได้ก็เพราะว่ามีกสิกรรม การประกอบอาชีพ ในด้านผลิตผลที่ได้จากธรรมชาติ ทั้งในด้านที่จะเป็นการปลูกข้าว ปลูกพืชไร่ ปลูกผลไม้ หรือทำมาหากินในด้านปศุสัตว์หรือประมง”

“การกสิกรรมและอาชีพในด้านเกษตรทุกทุกอย่างย่อมต้องอาศัยปัจจัยสำคัญหลายด้าน ด้านหนึ่งก็คือหลักวิชาของการเพาะปลูก เป็นต้น และอีกด้านหนึ่งก็เป็นการช่วยให้เพิ่มหลักวิชาเหล่านั้น และเมื่อได้ปฏิบัตแล้วได้ผลิตผลแล้วก็จะต้องสามารถดัดแปลงและขายจำหน่ายผลิตผลที่ตนได้ทำ ฉะนั้นทุกอย่างต้องสอดคล้องกัน ความขยันหมั่นเพียรในการผลิต ความรู้ในวิชาการผลิตและความรู้ในการเป็นอยู่ ทั้งความรู้ในด้านจำหน่าย ล้วนเป็นความรู้ที่จะต้องประสานกันหมด”

(พระราชดำรัสในโอกาสที่คณะกรรมการสหกรณ์การเกษตร สหกรณ์นิคม สหกรณ์ประมง และสมาชิกผู้รับนมสดเข้าเฝ้าฯ ณ โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๓๐)

“กสิกรรมและเกษตรกรรมเป็นเรื่องสำคัญมาก ท่านทั้งหลายจะต้องช่วยกันค้นคว้าหาความรู้และความชำนาญให้กว้างขวางยิ่งขึ้นเสมอ และพยายามส่งเสริมเผยแพร่ความรู้ที่ได้ศึกษามาแก่พี่น้องกสิกร และเกษตรกร ให้ได้ทราบถึงวิธีปฏิบัติอันถูกต้องตามหลักวิชาอีกด้วย จึงจะเกิดประโยชน์แก่สังคมในด้านนี้ และเป็นผลดีแก่ประเทศชาติสืบไป”
(คัดตัดตอนจากพระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรและอนุปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๐๕)

“การพัฒนาที่เหมาะกับประเทศไทยเรา ก็คือจะต้องทำนุบำรุงเกษตรกรรมทุกสาขาให้พัฒนาก้าวหน้าเพื่อยกระดับฐานะของเกษตรกร ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศให้สูงขึ้น อันจะส่งผลให้ฐานะทางเศรษฐกิจโดยส่วนรวมของประเทศมีความเข้มแข็งมั่นคงขึ้นด้วย”

(คัดตัดตอนจากพระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๑)

จากโครงการพระราชดำริและพระราชดำรัสต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพระองค์ทรงทุ่มเทพระวรกายและพระสติปัญญาเพื่อพัฒนาการเกษตรของไทย พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในทุก ๆ ด้าน พระองค์ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้กับปวงชนชาวไทยทุกคน

1.2 พระมหากษัตริย์แห่งการเกษตร

2.พระมหากษัตริย์นักประดิษฐ์คิดค้น

เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๙ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการทูลเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญา “พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย” แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เสนอ โดยกำหนดให้วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็นวันนักประดิษฐ์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติและเผยแพร่พระเกียรติคุณ และเพื่อให้ประชาชนเจริญรอยตามเบื้องยุคลบาท รวมทั้งปลูกฝัง เสริมสร้าง และส่งเสริม ให้เยาวชนไทยให้มีทุนทางสังคมของความเป็นนักประดิษฐ์คิดค้น พัฒนา และส่งเสริมนักประดิษฐ์ ให้ร่วมมือร่วมใจในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ความเจริญและความมั่นคงของประเทศชาติ

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงเป็นพระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย ด้วยทรงสนพระราชหฤทัย ในเรื่องการประดิษฐ์เครื่องจักรกลเพื่อใช้ในการ พัฒนาการเกษตรรูปแบบต่าง ๆ โดยอยู่บนพื้นฐานการใช้เทคโยโลยีแบบง่าย ๆ ใช้ภูมิปัญญาของเราเอง ใช้วัสดุภายในประเทศ เน้นความง่ายต่อการใช้งาน การซ่อมบำรุงและราคาถูก เช่น เครื่องสีข้าว กังหันน้ำ และทรงออกแบบเรือใบมด ซึ่งในวันที่ ๒ กรกฏาคม ๒๕๓๖ เครื่องกลเติมอากาศ “กังหันน้ำชัยพัฒนา” ได้รับการพิจารณาและทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย นับเป็นสิ่งประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศเครื่องที่ ๙ ของโลกที่ได้รับสิทธิบัตร และเป็นครั้งแรกที่ได้มีการรับจดทะเบียน และออกสิทธิบัตรให้แก่พระบรมราชวงศ์ด้วย จึงนับได้ว่าเป็น “สิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย ของพระมหากษัตริย์ พระองค์แรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยและเป็นครั้งแรกของโลก”

นอกเหนือจาก ผลงานประดิษฐ์และพระอัจฉริยะภาพ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ด้านเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ดังกล่าว พระองค์จึงทรงได้รับการสดุดี เทิดพระเกียรติจาก คณะกรรมการจัดงานบรัสเซลส์ ยูเรก้า (Brussels Eureka) โดย The Belgian Chamber of Inventors ซึ่งเป็นสมาคมส่งเสริมและคุ้มครองนักประดิษฐ์ ของราชอาณาจักรเบลเยียม ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในยุโรป ทูลเกล้าฯ รางวัลใน พ.ศ. ๒๕๔๓ และ พ.ศ. ๒๕๔๔

ใน พ.ศ. ๒๕๔๓ สภาวิจัยแห่งชาติ ได้นำผลงาน “เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย” หรือ “กังหันน้ำชัยพัฒนา” ในพระองค์เข้าประกวดในสิ่งประดิษฐ์ประเภที่ ๑ เกี่ยวกับการควบคุมมลพิษ และสิ่งแวดล้อม (Pollution Control – Environment) ปรากฏว่า ได้รับการยกย่องจากคณะกรรมการจัดงานว่าเป็นผลงานที่ทรงคุณค่าและมีประโยชน์ อย่างยิ่งในการบำบัดน้ำเสีย ทรงได้รับทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลรวมทั้งสิ้น ๕ รางวัล คือ

๑. เหรียญรางวัล Prix OMPI (Organisation Mondiale De La Propriete Intelietuelle) หรือ รางวัลสิ่งประดิษฐ์เด่นระดับโลก พร้อมประกาศนียบัติ และรางวัลจำนวน ๒,๐๐๐ เหรียญดอลล่าร์สหรัฐ

๒. เหรียญรางวัล Gold Medal with Mention หรือรางวัลสรรเสริญพระอัจฉริยภาพแห่งการใช้เทคโยโลยี อย่างมีประสิทธิภาพ และประกาศนียบัตรเกียรตินิยม จากบรัสเซลส์ ยูเนก้า ประจำปี พ.ศ. ๒๕๔๓

๓. ถ้วยรางวัล Grand Prix International (International Grand Prize) หรือรางวัลผลงานประดิษฐ์ดีเด่นสูงสุด

๔. ถ้วยรางวัล Minister J. CHABERT (Minister of Economy of Brussels Capital Region) หรือรางวัลผลงานประดิษฐ์

๕. ถ้วยรางวัล Yugosiavia หรือรางวัลสรรเสริญพระอัจฉริยภาพด้านประดิษฐ์

ใน พ.ศ. ๒๕๔๔ ทรงได้รับทูลเกล้าฯ รางวัลจาก ๓ โครงการ ตามที่สภาวิจัยแห่งชาติได้จัดแสดงผลงานตามโครงการอันเนื่องมาจกพระราชดำริ คือ ผลงานเรื่องทฤษฏีใหม่ (The New Theory) ผลงานเรื่องน้ำมัน ไบโอดีเซล สูตรสกัดจากน้ำมันปาล์ม (Palm Oil Formula) และผลงานเรื่องฝนหลวง (Royal Rain Making) โดยทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลถึง ๕ รางวัล คือ

๑. รางวัล D’Un Concept Nouveau de Development de la Thailand พร้อมถ้วยรางวัลทำด้วยเงิน

๒. รางวัล Gold Medal With Mention หรือ รางวัลสรรเสริญพระอัจฉริยภาพแห่งการใช้เทคโนโลยี อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมประกาศเกียรติคุณเทิดพระเกียรติให้แกผลงานประดิษฐ์คิดค้น โครงการน้ำมันไบโอดีเซล สูตรสกัดจากน้ำมันปาล์ม

๓. รางวัล Gold Medal with Mention หรือรางวัลสรรเสริญพระอัจฉริยภาพแห่งการใช้เทคโนโลยี อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมประกาศเกียรติคุณเทิดพระเกียรติ ให้กับผลงานประดิษฐ์คิดค้นโครงการทฤษฏีใหม่

๔. รางวัล Gold Medal with Mention หรือรางวัลสรรเสริญพระอัจฉริยภาพแห่งการใช้เทคโนโลยี อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมประกาศเกียรติคุณเทิดพระเกียรติ ให้กับผลงานประดิษฐ์คิดค้นโครงการฝนหลวง

๕. ถ้วยรางวัล SPECIAL PRIX for His Majesty The King of Thailand พร้อมประกาศนียบัตรมอบให้ผลงานประดิษฐ์คิดค้นทฤษฏีใหม่ ปาล์มน้ำมัน ฝนหลวง และประกาศนียบัตร Honored Member of BACCI โดยเป็นรางวัลจาก Bulgarina American Chamber of Commercial and Industry (BACCI)

1.3 พระมหากษัตริย์นักประดิษฐ์คิดค้น

3.พระมหากษัตริย์นักกีฬา

พระบรมราโชวาท ในพิธีเปิดการแข่งขันกรีฑาประจำปี ๒๔๙๘ ณ กรีฑาสถานแห่งชาติกรมพลศึกษา วันที่ ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๙๘

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสนพระราชหฤทัยในการกีฬามาตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ ด้วยโปรดกีฬาหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นฮอคกี้น้ำแข็ง สกีหิมะ แบดมินตันเทนนิส ยิงปืน การทรงรถเล็ก การทรงกอล์ฟเล็ก และการวิ่งเพื่อสุขภาพ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกีฬาที่ต้องทรงอาศัยเทคนิค ไหวพริบ และความละเอียดอ่อนมาประยุกต์ใช้กับความรู้และความสามารถรอบตัวร่วมกัน เนื่องจากพระราชภารกิจที่ต้องทรงปฏิบัติมีเป็นจำนวนมาก พระองค์จะทรงกีฬาเมื่อทรงว่างจากพระราชกรณียกิจ ทั้งยังโปรดทรงเพื่อการออกกำลังพระวรกายและพักผ่อนพระองค์เป็นสำคัญทุกครั้งที่จะทรงกีฬา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงปฏิบัติพระองค์อย่างถูกต้องตามหลักการทางวิทยาศาสตร์การกีฬาเพื่อประโยชน์ต่อชีวิตและสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการจดบันทึกชีพจร ความดันพระโลหิตทั้งก่อนและหลัง ทรงออกกำลังพระวรกายอย่างสม่ำเสมอและทรงศึกษาเรื่องขั้นตอนของการออกกำลังกายอย่างจริงจัง

หนึ่งในกีฬาที่ทรงโปรดปราน ด้วยทรงเล่นอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังมีพระอัจฉริยภาพเป็นพิเศษคือ การทรงเรือใบ ซึ่งไม่เพียงแต่จะทรงเล่นเพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้น หากแต่ยังทรงต่อเรือใบด้วยพระองค์เองและทรงนำไปร่วมในการแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ ๔ (ภายหลังจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นกีฬาซีเกมส์) จนทรงได้รับชัยชนะในการแข่งขันเรือใบประเภท โอ.เค. เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๐ นับจากนั้นจึงได้ถือเอาวันแห่งชัยชนะของพระองค์เป็น “วันกีฬาแห่งชาติ”พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองเหรียญทองร่วมกับสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญาสิริวัฒนาพรรณวดี นับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในทวีปเอเชียที่สามารถครองรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันและเป็นที่ยอมรับในวงการกีฬาเรือใบระดับโลก

แบดมินตันเป็นกีฬาอีกประเภทหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดปรานมากเช่นกัน และโปรดให้มีการปรับแต่งหอประชุมภายในศาลาผกาภิรมย์ สวนจิตรลดาให้เป็นสนามแบดมินตันมาตรฐาน ซึ่งพระองค์มักจะทรงแบดมินตันในตอนเย็นวันศุกร์ และเช้าวันอาทิตย์ ทั้งยังทรงรับสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์เมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๓ อีกด้วย นับจากนั้นวงการแบดมินตันของไทยจึงได้ก้าวไกลสู่ระดับสากลด้วยความที่ทรงตระหนักถึงแก่นแท้ของการกีฬาว่าเป็นหัวใจสำคัญในการเสริมสร้างสุขอนามัยให้แข็งแรงซึ่งจะมีผลต่อการพัฒนาสมองให้เกิดความคิดที่กว้างไกล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชประสงค์ในการสนับสนุนให้พสกนิกรชาวไทยเกิดความสนใจในการกีฬายิ่งขึ้น ด้วยจะก่อให้เกิดประโยชน์โดยรวมทั้งต่อตนเองและประเทศชาติ ดังพระบรมราโชวาทในพิธีเปิดการแข่งขันกรีฑาประจำปี ๒๕๐๗ ณ กรีฑาสถานแห่งชาติ กรมพลศึกษา วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๐๗ ความตอนหนึ่งว่า “…การกีฬานั้น นอกจากจะให้ความสนุกสนานและความสมบูรณ์แก่ร่างกายแล้ว ยังให้ผลดีทางจิตใจได้อย่างมากมาย นักกีฬาที่ได้รับการฝึกหัดอบรมอย่างดีแล้ว ย่อมมีใจแน่วแน่ตัดสินใจได้รวดเร็ว มีความเพียรพยายามไม่ท้อถอย และมีความหนักแน่น รู้จักแพ้ รู้จักชนะ รู้จักให้อภัย ผู้มีใจเป็นนักกีฬา จึงเป็นผู้ที่มีประโยชน์ต่อสังคมและน่าคบหาสมาคมด้วยอย่างยิ่ง…”

หลายครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นักกีฬาที่จะเดินทางเพื่อไปแข่งขันในกีฬาประเภทต่างๆ ยังต่างประเทศได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อพระราชทานพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาท เพื่อให้กำลังใจและเตือนสติให้ทุกคนได้ระลึกถึงความเป็นคนไทย พร้อมเล่นกีฬาด้วยน้ำใจและไมตรี ดังพระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่คณะนักกีฬาซึ่งจะเดินทางไปร่วมแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ ๕ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๒ ความตอนหนึ่งว่า “…แต่ในคราวนี้โดยที่เป็นผู้แทนของประเทศไทยและไปในต่างประเทศ ก็ย่อมมีหน้าที่และต้องมีการปฏิบัติ เพิ่มเติมอีกก็คือเวลาปฏิบัติกีฬาก็จะต้องปฏิบัติตนเป็นนักกีฬาที่แท้ เพื่อแสดงว่าประเทศไทยมีนักกีฬาที่มีน้ำใจดีไม่ใช่พาล ถ้าชนะก็อย่าทะนงตัว ถ้าแพ้ก็อย่าท้อใจ ในการ ปฏิบัติกีฬานั้น การแสดงออกมาซึ่งกิริยาหรือท่าทางก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด…”

พระปรีชาสามารถด้านการกีฬาและพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานแก่วงการกีฬา ได้สร้างคุณูปการต่างๆ มากมายเป็นที่ประจักษ์แจ้งจนทรงได้รับการทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระราชสดุดีจากองค์การด้านการกีฬาจากนานาประเทศ

เหรียญสดุดีพระเกียรติยศด้านการกีฬาที่องค์กรต่างประเทศทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย

  • เหรียญดุษฎีกิตติมศักดิ์ของโอลิมปิก “อิสริยาภรณ์โอลิมปิกชั้นสูงสุด (ทอง)”(First Class Order of Olympic(Gold)) – ในฐานะที่ทรงเป็นนักกีฬาอย่างแท้จริงและทรงสนับสนุนกีฬาจนเป็นที่ปรากฏชัดและนับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ทรงได้รับการทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเหรียญโอลิมปิกชั้นสูงสุด
  • อิสริยาภรณ์สูงสุดทางการกีฬาของสภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย(OCA Merit Award) – ในฐานะที่ทรงเป็นนักกีฬายอดเยี่ยม และทรงให้การสนับสนุนส่งเสริมการกีฬาของเอเชียและของโลกอย่างต่อเนื่อง
  • ถ้วยลาลาอูนิส (Lalaounis Cup) – เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณด้านการกีฬาและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อวงการกีฬาของไทยและระหว่างประเทศ
  • เหรียญสดุดีพระเกียรติคุณ“โกลเด้น ชายนิง ซิมโบลออฟ เวิลด์ ลีดเดอร์ชิพ”(Golden Shining Symbolof World Leadership) – ในฐานะที่ทรงสนับสนุนการกีฬาของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกีฬามวย

แม้ว่าพระอัจฉริยภาพด้านการกีฬาจะเริ่มต้นขึ้นจากความสนพระราชหฤทัยในเรื่องสุขภาพพลามัยส่วนพระองค์ แต่ด้วยทรงเห็นว่าเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำเนินชีวิตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพยายามปลูกฝังเรื่องความรักในการกีฬา โดยทรงเป็นผู้นำในการจุดประกายให้ปวงชนชาวไทยหันมาให้ความสนใจในกีฬามากขึ้น ด้วยการทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างของนักกีฬาที่สมบูรณ์พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ จนได้รับชัยชนะในการแข่งขันกีฬาเรือใบระดับเหรียญทอง ทำให้พสกนิกรพร้อมใจกันมุ่งมั่นเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงเพื่อรับกับการมีชีวิตและจิตใจที่เข้มแข็งส่งผลให้ระบบการกีฬาของประเทศไทยเติบโตขึ้นงอกงามยิ่งขึ้น ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศในฐานะที่ไทย “เป็นหนึ่ง” ในผู้นำด้านการกีฬาบนเวทีโลก ไม่ว่าจะเป็น เทควันโด ตะกร้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “มวยไทย” จนก่อเกิด “มิตร” และ “ไมตรี” จากประเทศทั่วโลกและก้าวไปสู่อารยะด้านเกมกีฬาอย่างสมภาคภูมิ

1.4 พระมหากษัตริย์นักกีฬา

4.พระมหากษัตริย์คีตกวี

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นคีตกวี และทรงพระปรีชาสามารถในการทรงดนตรี อีกทั้งทรงพระราชนิพนธ์เพลง แยกและเรียบเรียงเสียงประสาน ทรงเป็นครูสอนดนตรีแก่ข้าราชบริพารใกล้ชิดและทรงซ่อมเครื่องดนตรีได้ด้วย พสกนิกรชาวไทยจึงน้อมเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญา “อัครศิลปิน”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเริ่มเรียนดนตรีเมื่อมีพระชนมายุ 13 พรรษา กับครูชาวอัลซาส ชื่อ นาย เวย์เบรชท์ ขณะที่ประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยทรงเรียนการเป่าแซกโซโฟน รวมไปถึงวิชาการดนตรีต่าง ๆ เช่น การเขียนโน้ต, การบรรเลงดนตรีสากลแนวคลาสสิค ต่อมาจึงเริ่มฝึกดนตรีแจ๊ส โดยทรงหัดเป่าแซกโซโฟนสอดแทรกกับแผ่นเสียงของนักดนตรีที่มีชื่อเสียงได้เป็นอย่างดี จากนั้นทรงเรียนการเล่นดนตรีอีกหลายชนิด ทั้งประเภทเครื่องลม เล่น คลาริเนต ทรัมเป็ต รวมไปถึงเปียโนและกีตาร์ ที่ทรงฝึกเพิ่มเติมภายหลัง เพื่อประกอบการพระราชนิพนธ์เพลง และเพื่อทรงดนตรีร่วมกับวงดนตรีส่วนพระองค์

จากนั้นทรงเริ่มพระราชนิพนธ์เพลงเมื่อมีพระชนมายุได้ 18 พรรษา โดยในปี พ.ศ. 2489 ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองเพลง “แสงเทียน” ซึ่งเป็นเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรก และจนถึงปัจจุบันมีเพลงพระราชนิพนธ์ทั้งสิ้น 48 เพลง เพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชแต่ละเพลงนั้น ล้วนแสดงออกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่าโดยถ้วนหน้า เช่น เพลงยามเย็น พระราชทานแก่สมาคมปราบวัณโรค เพื่อนำออกแสดงเก็บเงินบำรุงการกุศล เพลงใกล้รุ่ง บรรเลงเป็นปฐมฤกษ์ในงานของ สมาคมเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย เพลงยิ้มสู้ พระราชทานแก่โรงเรียนสอนคนตาบอด เพลงลมหนาว พระราชทานในงานประจำปีของสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษในพระบรมราชูปถัมภ์ เพลงพรปีใหม่ พระราชทานแก่พสกนิกรเนื่องในวันปีใหม่ เพลงเกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย เพลงความฝันอันสูงสุด และเพลงเราสู้ พระราชทานแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติ เพลง Kinari Suite พระราชทานเพื่อใช้ประกอบการแสดงบัลเล่ต์ชุดมโนราห์ และมีเพลงประจำสถาบันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน ได้แก่ เพลงมหาจุฬาลงกรณ์ เพลงธรรมศาสตร์ เพลงเกษตรศาสตร์ เพลงธงไชยเฉลิมพล ราชวัลลภ และ  ราชนาวิกโยธิน

เพลงพระราชนิพนธ์ทุกเพลงล้วนมีทำนองไพเราะประทับใจผู้ฟัง สอดคล้องกับเนื้อร้อง ซึ่งมีคตินานัปการ และเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทย ในยามที่บ้านเมืองไม่สงบสุข ก็พระราชทานเพลงปลุกใจ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ ข้าราชการ ทหาร พลเรือน และประชาชน ผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติ มิให้เกิดความย่อท้อในการทำความดี ต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ต่อตนเองและสังคม

1.5พระมหากษัตริย์คีตกวี

5.พระมหากษัตริย์อัครศิลปิน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นเอตทัคคะ และทรงเปี่ยมไปด้วยพระปรีชาสามารถทางศิลปกรรมประกอบด้วย จิตรกรรม ประติมากรรม การถ่ายภาพ หัตถกรรม และดนตรี จนได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า “อัครศิลปิน” หมายถึงผู้มีศิลปะอันเลอเลิศ หรือผู้เป็นใหญ่ในศิลปิน

พระปรีชาสามารถด้านการถ่ายภาพ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นศิลปินผู้มีศิลปะในจิตวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการถ่ายภาพและงานจิตรกรรม ด้วยทรงได้รับถ่ายทอดพระปรีชาสามารถนี้จากสมเด็จพระบรมราชชนนี ตั้งแต่พระชนมพรรษา ๘ พรรษา ทรงเริ่มถ่ายภาพเป็นครั้งแรกเมื่อตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ไปทรงเยี่ยมราษฎร ณ สถานที่ต่างๆ ในฐานะ ”พระอนุชา” จึงทรงเสมือนช่างภาพส่วนพระองค์ความสนพระราชหฤทัยในการถ่ายภาพของพระองค์เป็นไปอย่างลึกซึ้ง เพราะทรงให้ความสำคัญเสมือนเป็น “อาชีพ” พระองค์ได้พระราชทานภาพถ่ายฝีพระหัตถ์เพื่อลงพิมพ์ในนิตยสาร “สแตนดาร์ด” ของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตรไชยากร แม้เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ แล้วก็ยังทรงปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

ในการถ่ายภาพนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดที่จะถ่ายภาพบุคคลที่พระองค์ทรงรักเสมอ นอกจากภาพพระบรมวงศ์แล้ว การถ่ายภาพพสกนิกรในโอกาสต่างๆ เป็นสิ่งที่ทรงโปรดปรานมาก เช่น เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในท้องถิ่น เป็นต้น ทรงถ่ายภาพ ในขณะที่ประทับอยู่ ในรถยนต์พระที่นั่งที่กำลังแล่น ด้วยพระปรีชาสามารถทำให้ทรงจับภาพได้อย่างสวยสมบูรณ์ ไม่ไหว ไม่ขาด ครบถ้วนด้วยเหตุการณ์และด้วยภาพถ่ายฝีพระหัตถ์นี้เอง ที่ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ก่อให้เกิดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่สำคัญเกือบ ๔,๐๐๐ โครงการ หรือแม้แต่คราวที่เสด็จออกจากโรงพยาบาลศิริราชเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๐ ภายหลังที่ทรงหายจากอาการพระประชวร พระองค์ทรงบันทึกภาพพสกนิกรที่มาเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ด้วยหมายจะทรงจดจำทุกดวงหน้าไว้ในพระราชหฤทัย

ดนตรี คือ หัวใจและวิญญาณ

“…เพราะว่าการดนตรีนี้เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นศิลปะที่ทำให้เกิดความปิติ ความภูมิใจ ความยินดีความพอใจได้มากที่สุด…”

พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสที่คณะกรรมการของสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทยฯ เฝ้าฯ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงิน เพื่อสมทบทุน “โครงการพัฒนาตามพระราชประสงค์” ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีความสนพระราชหฤทัยด้านการดนตรีมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ แม้ว่าจะมีพระปรีชาสามารถทรงดนตรีได้เกือบทุกชนิด ประกอบด้วย เปียโน กีตาร์ ฟลุต ไวโอลิน เครื่องเป่าทั้งชนิดเครื่องทองเหลืองและเครื่องลมไม้ แต่ที่ทรงโปรดปรานมากเป็นพิเศษคือ แซ็กโซโฟน คลาริเนต และทรัมเป็ต ซึ่งพระองค์ยังทรงเครื่องดนตรีประเภทนี้มาอย่างต่อเนื่องยาวนานพระปรีชาสามารถด้านศิลปะที่มีอยู่เปี่ยมล้น ทำให้ทรงศึกษาตามทฤษฎีแม้เพียงเล็กน้อย ก็ทรงพัฒนาการทรงดนตรีได้ก้าวไกลเหลือคณา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระปรีชาสามารถในดนตรีแจ๊ส ซึ่งนอกจากจะทรงเป็นนักดนตรีผู้รักการเล่นดนตรีด้วยความปราดเปรื่องแล้ว ยังทรงเป็นผู้ถ่ายทอดในฐานะของ “ครู” ได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วยดังจะเห็นได้จากทรงฝึกหัดดนตรีให้กับแพทย์และราชองครักษ์ผู้ถวายการอภิบาล จนเกิดเป็นวงดนตรี “สหาย พัฒนา” ขึ้น ในการนี้มีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีทรงเป็นนักดนตรีคนพิเศษในวงอีกด้วย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้มีดนตรีอยู่ในพระราชหฤทัยเสมอ ทั้งยังเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดการพัฒนาไปสู่สิ่งอื่นๆ ได้อย่างมากมาย ดังที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเล่าไว้ว่า “…มีรับสั่งว่า สอนดนตรีนี้เองที่ทำให้สนพระทัยคอมพิวเตอร์ ทรงหาโปรแกรมที่เขียนโน้ตได้ ทรงเขียนโน้ตบางเพลงด้วยคอมพิวเตอร์ พระราชทานแจกให้เล่นและได้ทรงพระราชนิพนธ์เพลงด้วยคอมพิวเตอร์ แต่ยังไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัย จึงยังไม่ออกเผยแพร่…”

บทเพลงสื่อใจ เชื่อมสายสัมพันธ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดปรานการพระราชนิพนธ์เพลง เมื่อพระชนมพรรษาเพียง ๑๙ พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์เพลง “แสงเทียน” ในจังหวะบลูส์เป็นเพลงแรกและนับจากนั้นได้ก่อเกิดเพลงพระราชนิพนธ์ที่ล้ำค่ายิ่งพระราชนิพนธ์ส่วนใหญ่เป็นทำนองและโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีผู้ประพันธ์คำร้องถวายรวมทั้งสิ้น ๔๘ เพลง โดยเป็นเพลงที่พระราชนิพนธ์ทั้งทำนองและคำร้องภาษาอังกฤษจำนวน ๕ เพลง เป็นเพลงที่พระราชนิพนธ์ทำนองพระราชทานใส่ในคำประพันธ์ที่มีผู้ประพันธ์ไว้แล้ว ๔ เพลง ทุกเพลงล้วนมีความหมายลึกซึ้งกินใจ มีอารมณ์เพลงที่แตกต่างกันไป ในแต่ละช่วงเวลา ทั้งบทเพลงชวนเคลิ้มฝันด้วยจินตนาการที่สุกสว่าง เติมเต็มให้เกิดพลัง ก่อเกิดความสดชื่นด้วยบรรยากาศอันเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเพลงแสงเทียน ยามเย็น สายฝน ใกล้รุ่ง ชะตาชีวิต หรือดวงใจกับความรัก ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นระหว่างพุทธศักราช ๒๔๘๙ – ๒๕๐๒ อันเป็นช่วงวัยที่เปี่ยมด้วยพลังแห่งความสดชื่นผ่องใส

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานบทเพลงพระราชนิพนธ์ “ยิ้มสู้” เพื่อโอบอุ้มจิตใจของประชาชนผู้ทุกข์ยากและผู้ลำบากจากความพิการตาบอดให้เต็มไปด้วยความสุขใจ พร้อมเผชิญโลกนี้ด้วยหัวใจชื่นบาน เมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะภัยจากลัทธิคอมมิวนิสต์ซึ่งแผ่เข้าสู่ประเทศไทยอย่างกว้างขวางทำให้เกิดกระแสความคิดใหม่ พระองค์ทรงพยายามรวบรวมใจพสกนิกรให้เป็นหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มนักศึกษาซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นกำลังสำคัญต่อการพัฒนาชาติให้ก้าวไกล พระองค์จึงทรงผูกใจทุกคนด้วยบทเพลงที่พระราชทานประจำ มหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เพลง “มหาจุฬาลงกรณ์” สำหรับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพลง “ยูงทอง” สำหรับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเพลง “เกษตรศาสตร์” สำหรับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

เมื่อบ้านเมืองต้องประสบกับช่วงเวลาแห่งความสับสนและวุ่นวาย เต็มไปด้วยปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติ และการบ่อนทำลายจากศัตรูภายนอกประเทศระหว่างพุทธศักราช ๒๕๑๔ – ๒๕๑๙ ชาวไทยก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากบทเพลง “ความฝันอันสูงสุด” “เราสู้” และ “เรา-เหล่าราบ ๒๑” เพื่อปลุกปลอบให้เกิดขวัญและกำลังใจ พร้อมฝ่าฟันผองภัยด้วยใจเป็นหนึ่งกระทั่งบ้านเมืองผ่านพ้นวิกฤต และก้าวไกลสู่ความมั่นคง ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพระราชกรณียกิจ เพื่อความมั่นคงเข้มแข็งของประเทศชาติ ทรงว่างเว้นการพระราชนิพนธ์เพลงไปนานนับ ๑๘ ปี แต่พระองค์ก็ยังทรงรักที่จะพระราชนิพนธ์เพลง ดังนั้นเมื่อทรงมีเวลาผ่อนคลาย จึงทรงพระราชนิพนธ์เพลง “รัก” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ทำนองใส่ในบทกลอนพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และทรงพระราชนิพนธ์ทำนองเพลง “เมนูไข่” พระราชทานเป็นของขวัญวันคล้ายวันประสูติเวียนมาครบ ๗๒ พรรษา ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

บทเพลงที่สร้างความสุขใจให้แก่ชาวไทยอีกบทเพลงหนึ่งคือ เพลง “พรปีใหม่” สะท้อนถึงพระเมตตาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพสกนิกรอยู่ในพระราชหฤทัยของพระองค์เสมอ พระองค์จึงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานพรในวาระแห่งความสุขให้แก่ประชาชนทุกคน ในวาระพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัตและประทับเป็นการถาวรในประเทศเมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๕ เป็นเพลงที่ยังประทับอยู่ในความทรงจำของปวงชนชาวไทยตลอดเวลา และเสมือนได้รับพรในทุกวันขึ้นปีใหม่ตราบปัจจุบัน

ร่วมบรรเลง ร่วมประสานใจ

ดนตรีคือสื่อเชื่อมใจ เชื่อมสายสัมพันธ์ที่สำคัญยิ่งด้วยเหตุนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดที่จะร่วมทรงดนตรีกับบุคคลต่างๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น “วงลายคราม” “วง อ.ส. วันศุกร์” และ “วงสหายพัฒนา” มีพระราชดำริให้กรมศิลปากรจัดทำประชุมโน้ตดนตรีไทยและพระราชทานทุนในการจัดพิมพ์ เพื่อรักษาไว้ไม่ให้สูญหาย เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๔ เป็นการบันทึกเพลงไทยด้วยโน้ตสากล เป็นการเผยแพร่วิชาดนตรีไทยไปสู่ประชาชนได้อย่างกว้างขวางเมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนต่างประเทศเพื่อทรงสร้างสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศช่วงพุทธศักราช ๒๕๐๕ – ๒๕๑๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดนตรีพระราชทานแก่ผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในหลายโอกาส ด้วยพระปรีชาสามารถเป็นเลิศด้านการดนตรีเมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปสาธารณรัฐออสเตรีย ทรงได้รับการทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายประกาศนียบัตรให้ทรงดำรงตำแหน่งสมาชิกกิตติมศักดิ์ หมายเลข ๒๓ จากสถาบันดนตรีและศิลปะแห่งกรุงเวียนนา (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยการดนตรีและศิลปะการแสดงแห่งกรุงเวียนนา) เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๐๗

แต้มเติมใจให้เต็ม ด้วยเส้นและสี

พระปรีชาสามารถด้านจิตรกรรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉายชัดตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เพียงทรงศึกษาด้วยพระองค์เองก็ทรงเข้าใจ และสะท้อนถึงพระปรีชาสามารถในภาพวาดฝีพระหัตถ์ได้อย่างมีเอกลักษณ์ ทรงมุ่งมั่นกับการวาดภาพมากยิ่งขึ้นภายหลังจากที่ได้เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว และทรงโปรดปรานที่จะวาดภาพหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นภาพเหมือน ภาพที่แสดงออกซึ่งความรู้สึกที่รุนแรงแบบเอ็กซเพรสชันนิสม์ (Expressionism) ภาพแบบคิวบิสม์ (Cubism) ภาพแบบนามธรรม (Abstract) และภาพแบบกึ่งนามธรรม (Semi-abstract) เทคนิคที่ทรงใช้มากในการเขียนภาพคือ เทคนิคสีน้ำมันบนผ้าใบ ระหว่างพุทธศักราช ๒๕๐๒ -๒๕๑๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงวาดภาพไว้เป็นจำนวนมากถึง ๑๖๗ ภาพ

หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ ศิลปินสมัครเล่นที่ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาททรงให้ความเห็นเกี่ยวกับภาพจิตรกรรมฝีพระหัตถ์ว่า

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเริ่มเขียนภาพเหมือน ซึ่งเหมือนจริงและละเอียดมาก แต่ต่อมาได้ทรงวิวัฒน์เข้ากับภาพของจิตรกรสมัยใหม่ และทรงค้นคว้าหาทางใหม่ๆ แปลกๆ ที่จะแสดงออกซึ่งความรู้สึกของพระองค์ โดยไม่ต้องกังวลกับความเหมือน อันจะมีอิทธิพลบีบบังคับไม่ให้ปล่อยความรู้สึกออกมาได้อย่างอิสระ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นศิลปินโดยแท้ ทรงชื่นชมในงานของศิลปินอื่นเสมอ และดูจะไม่เคยทรงพอพระราชหฤทัยกับภาพเขียนของพระองค์และวิธีการที่ทรงใช้อยู่แล้ว และแม้ว่าโปรดที่จะทรงค้นคว้าหาวิธีใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ ภาพฝีพระหัตถ์ของพระองค์ก็ยังคงเค้าลักษณะอันเป็นแบบฉบับของพระองค์เองโดยเฉพาะ ขณะที่ทรงวาดภาพนามธรรมที่มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ แต่เป็นสาระ ดังเช่นภาพที่พระราชทานชื่อว่า “วัฏฏะ” “โลภะ” “โทสะ” “ยุแหย่” “อ่อนโยน” “บุคลิกซ้อน” ก็ยังทรงเขียนรูปในลักษณะที่สวยงามกระจุ๋มกระจิ๋มได้ดีอีกด้วยทั้งที่ไม่สู้ตรงกับพระราชอัธยาศัยเท่าใดนัก ในฐานะจิตรกรขณะทรงงาน ทรงใส่อารมณ์และความรู้สึกของจิตรกรอย่างเต็มที่ ทรงมีความรู้สึกตรงและรุนแรง ทรงใช้สีสดและเส้นกล้า ส่วนมากโปรดเส้นโค้ง แต่ในบางครั้งบางคราวก็มีข้อดลพระราชหฤทัยให้ทรงใช้เส้นตรงและเส้นแบบฟันเลื่อย”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุนศิลปินอยู่เสมอ เพราะไม่เพียงแต่จะเสด็จพระราชดำเนินไปในพิธีเปิดงานศิลปกรรมแห่งชาติเท่านั้น หากแต่ยังทรงร่วมแสดงผลงานฝีพระหัตถ์เพื่อให้พสกนิกรมีโอกาสชื่นชมอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานภาพจิตรกรรมฝีพระหัตถ์จำนวนหนึ่งให้องค์กร Soka Gakkai International แห่งประเทศญี่ปุ่น นำไปจัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี ณ Tokyo Fuji Art Museum กรุงโตเกียว เมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๙ ได้รับความสนใจอย่างยิ่งกระทั่งได้นำไปแสดงต่อที่กรุงโอซาก้าด้วย

ปั้นรูปงาม ปั้นความตั้งใจ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีความสนพระราชหฤทัยและมีพระปรีชาสามารถในงานด้านประติมากรรมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าศิลปกรรมแขนงอื่น แม้ว่าจะทรงมีผลงานฝีพระหัตถ์ไม่มากเท่างานจิตรกรรม แต่พระองค์ทรงศึกษาค้นคว้าเทคนิควิธีการต่างๆ ในการปั้น หล่อและขึ้นแม่พิมพ์ด้วยพระองค์เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปั้นหล่อพระพุทธรูป มีพระราชดำริให้สร้างพระผงพิมพ์จิตรลดาขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๐๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้แกะแม่พิมพ์ด้วยหินลับมีดโกน หล่อเป็นปูนปลาสเตอร์ แล้วทำแม่พิมพ์ด้วยขี้ผึ้งจากรูปหล่อปูนปลาสเตอร์ ทรงบรรจุผงศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ตามวิธีส่วนพระองค์สำเร็จเป็นองค์พระพิมพ์ ทรงมุ่งหมายให้ผู้ที่ได้รับพระราชทาน “ให้ทำดีเหมือนกับการปิดทองหลังองค์พระพิมพ์”ทรงเปิดโอกาสให้ผู้สนใจงาน ประติมากรรมเข้าชมการทำงานอย่างใกล้ชิด ดังจะเห็นได้ที่พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นายไพฑูรย์เมืองสมบูรณ์ ผู้ปั้น “พระพุทธนวราชบพิตร” ดำเนินการในสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ให้ผู้สนใจได้เข้าชมเพื่อเกิดความเข้าใจในศิลปวัฒนธรรมของไทย

สื่อภาษา สื่อพระอักษร สื่อสอนใจ

กว่า ๖๐ ปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระเมตตาแก่พสกนิกรของพระองค์ด้วยภาษาและวรรณกรรม ทุกตัวอักษรที่ปรากฏอยู่ในพระราชนิพนธ์ล้วนเปี่ยมไปด้วยแง่คิดสอนใจ รวมถึงความหมายของความรัก ความเมตตา ความเอื้ออาทร การเตือนใจให้พสกนิกรของพระองค์ได้มีสติ “รู้ตื่น” “รู้เบิกบาน” หลายครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ที่จะชี้แนะและสื่อ “สาร” ถึงพสกนิกรของพระองค์ผ่านทางพระราชนิพนธ์ ไม่ว่าจะเป็น “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ” พุทธศักราช ๒๕๑๙ “ติโต” พุทธศักราช ๒๕๓๗ และ ”พระมหาชนก” พุทธศักราช ๒๕๓๙ ล้วนแต่เป็นเรื่องราวที่มีสารัตถะในการบำเพ็ญเพียรทำความดี ด้วยวิริยอุตสาหะโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งพระราชหฤทัยให้เป็นของขวัญพระราชทานแก่พสกนิกรของพระองค์เนื่องในโอกาสกาญจนาภิเษก ด้วยความรักและเป็นผลงานวรรณกรรมที่ทรงโปรดปรานมากเรื่องหนึ่ง ดังพระราชดำรัสในโอกาสที่รองเลขาธิการพระราชวัง ฝ่ายกิจกรรมพิเศษนำคณะกรรมการดำเนินการจัดพิมพ์หนังสือพระราช นิพนธ์ เรื่อง “พระมหาชนก” เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาททูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเหรียญทองคำจำลองเหรียญพระมหาชนกขนาดพิเศษ ฟิล์ม ภาพถ่าย รูปเขียนหนังสือ รูปเขียนภาพประกอบเรื่องพระราชนิพนธ์ ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๙ ความตอนหนึ่งว่า “…หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือรับรองได้ว่า เป็นหนังสือที่ไม่มีที่เทียม. ต้องอวดเสียหน่อยว่าไม่มีที่เทียม แล้วก็ท่านผู้ที่เป็นศิลปิน ผู้ที่เป็นกรรมการ และผู้ที่สนับสนุนย่อมจะทราบดีว่างานที่เราทำนั้นคุ้มแค่ไหน…ฉะนั้นในที่นี้จะต้องขอบใจท่านทั้งหลายทุกคนที่มาชุมนุมกันในที่นี้ เพื่อที่จะรับรู้ว่าหนังสือนี้มีขึ้นแล้ว. ที่ต้องขอบใจเพราะว่าหนังสือนี้เป็นที่รักของข้าพเจ้าเอง เป็นสิ่งที่เห็นว่ามีความสำคัญ… และเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคน และเป็นประโยชน์กับประชาชนทั้งไทยและเทศ…”

พระปรีชาสามารถด้านสถาปัตยกรรม

แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมิได้ทรงงานด้านสถาปัตยกรรมด้วยพระองค์เอง แต่ด้วยพระบรมราชวินิจฉัยที่พระราชทานต่อผลงานต่างๆ ได้แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถที่ทรงมีต่อศิลปะแขนงนี้ได้เป็นอย่างดียิ่งไม่ว่าจะเป็นพระบรมราชวินิจฉัยเกี่ยวกับการก่อสร้างพระอุโบสถวัดพุทธประทีป กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ศาลสมเด็จพระนเรศวร จังหวัดหนองบัวลำภูศาลหลักเมือง กรุงเทพมหานคร พระเมรุมาศสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ณ ท้องสนามหลวงพระอุโบสถวัดโสธรวรารามวรวิหาร จังหวัดฉะเชิงเทราและพระมหาธาตุเฉลิมราชศรัทธา ณ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ สาธารณรัฐอินเดีย รวมทั้งสถาปัตยกรรมไทยสมัยใหม่ เช่น พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ และวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เป็นต้น ซึ่งสารัตถะสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชวินิจฉัยในงานสถาปัตยกรรมเหล่านี้คือ ความเรียบง่าย และประหยัด โดยยังคงจารีตประเพณีดั้งเดิมเอาไว้กว่า ๖๐ ปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผูกใจพสกนิกรไว้ด้วยความจงรักภักดี ด้วยทรงนำศิลปะมาเป็นสื่อเชื่อมใจ ผ่านทางภาษา อักษร ท่วงทำนองเพลง ผลงานประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ด้วยพระราชหฤทัยด้วยพระหัตถ์ที่ทรงทำให้เห็นขึ้นเป็นแบบอย่าง ทุกสิ่งล้วนเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งรัก ความห่วงใย ความเอื้ออาทรการให้กำลังใจ และการเตือนสติให้ยั้งคิด ทำให้ปวงชนชาวไทยได้สัมผัสถึงพลังอันบริสุทธิ์แห่งพระมหากรุณาธิคุณอันท่วมท้น และน้อมนำให้ทุกคนในชาติพร้อมใจกันร่วมจรรโลงศิลปกรรมของไทยให้ดำรงอยู่ และพร้อมก้าวไปสู่อารยะอย่างสมบูรณ์

1.6พระมหากษัตริย์อัครศิลปิน

6.พระมหากษัตริย์ศาสนูปถัมภก

กว่า ๖๐ ปี ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกได้อย่างพรั่งพร้อม ทรงเกื้อกูล ค้ำจุนทุกศาสนาภายใต้พระบรมโพธิสมภารอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม ทั้งศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ทุกนิกาย ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และศาสนาซิกข์ ด้วยทรงเชื่อว่าทุกศาสนาล้วนสอนให้ทุกคนเป็นคนดีและการร่วมกันสร้างสรรค์ความดี คือการก่อเกิดสังคมที่ดีศาสนาอิสลาม นับเป็นเวลาหลายคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้การอุปถัมภ์กิจการของศาสนาอิสลาม ด้วยพระราชหฤทัยอันเข้าใจอย่างลึกซึ้งในความสำคัญของศาสนา ดังจะเห็นได้จากการที่มีพระมหากรุณาธิคุณสนับสนุนพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อใช้ในการแปลพระคัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาไทยขึ้นเมื่อ พุทธศักราช ๒๕๐๕ โดยที่มีพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า“…การที่ได้นำคัมภีร์อัลกุรอานมาให้ ตามที่ท่านจุฬาราชมนตรีได้เป็นธุระแปลจนสำเร็จ ก็เป็นที่น่ายินดีมากเพราะว่าเป็นการแปลคัมภีร์ให้เป็นภาษาไทยนั้น แปลอย่างดีและปราณีต มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ศึกษาศาสนา จะเป็นชาวอิสลามิกหรือไม่ได้เป็นชาวอิสลามิก แต่สนใจในศาสนา ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะว่าได้ทราบข้อความสั่งสอนที่แท้จริง โดยที่มีอรรถรสที่ถูกต้อง…”

พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสที่คณะกรรมการจัดงานเมาลิดกลาง ฮ.ศ. ๑๔๐๐ เฝ้าฯ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงิน เพื่อโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๒๘

ด้วยเหตุนี้พระคัมภีร์อัลกุรอานภาษาไทยฉบับแรกจึงได้รับการเผยแพร่เป็นครั้งแรกเมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๑ และยังทรงให้การสนับสนุนด้านพระราชทรัพย์ เพื่อการก่อสร้าง ซ่อมแซม และทำนุบำรุงมัสยิดในจังหวัดต่างๆ ที่มีชาวมุสลิมเป็นจำนวนมากอีกหลายคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเสด็จพระราชดำเนินไปในงานเมาลิดกลางซึ่งจัดขึ้นเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสคล้ายวันประสูติของพระศาสดานบี มูฮัมหมัด อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งในทุกครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีกระแสพระราชดำรัสเกี่ยวกับการประกอบคุณงามความดี โดยเฉพาะการมอบความรัก ความสามัคคี ที่ไม่แบ่งแยกศาสนาให้แก่กันอยู่เสมอ

ศาสนาคริสต์ ในส่วนของศาสนาคริสต์นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุนกิจการของศาสนาตามวาระสำคัญต่างๆ อยู่เสมอ ทั้งยังเสด็จพระราชดำเนินไปในงานพิธีสำคัญๆ ของคริสต์ศาสนิกชนเป็นประจำ ที่สำคัญที่สุดคือ การเสด็จพระราชดำเนินเยือนนครรัฐวาติกัน เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๒ เพื่อกระชับทางพระราชไมตรีระหว่างประเทศไทยกับคริสตจักร ณ กรุงวาติกัน และเพิ่มความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ ๒ ได้เสด็จเยือนประเทศไทยในฐานะพระราชอาคันตุกะ ซึ่งนับว่าเป็นกรณีพิเศษยิ่ง เพราะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประมุขคริสตจักรโรมันคาทอลิกเดินทางมาเยือนประเทศไทย

ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู เป็นอีกหนึ่งศาสนาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้การอุปถัมภ์ค้ำชูอย่างดียิ่ง ด้วยเป็นศาสนาเก่าแก่ที่อยู่คู่กับราชอาณาจักรไทยมาตั้งแต่กาลก่อน โดยได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้คณะพราหมณ์เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อถวายพระพรชัยมงคล ตลอดจนเป็นผู้นำสำคัญในการประกอบพระราชพิธีสำคัญตามโบราณราชประเพณีเช่น ในพระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระราชพิธีฉัตรมงคล พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีหล่อพระพุทธรูปสำคัญต่างๆ พระราชพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏในการสถาปนาพระอิสริยยศพระบรมราชวงศ์และพระราชทานสมณศักดิ์ พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ และพระเจ้าหลานเธอ เป็นต้น

ศาสนาซิกข์ ภายใต้การดูแลของสมาคมศรีคุรุสิงห์สภา นับเป็นอีกหนึ่งศาสนาที่ได้รับพระราชทานการอุปถัมภ์จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยดีมาโดยตลอด เช่น การพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ในงานต่างๆ เฉกเช่นเดียวกับองค์กรศาสนาอื่นๆ ทั้งยังทรงมุ่งหมายให้ศาสนิกชนชาวซิกข์ได้อาศัยอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารอย่างเป็นสุข ดังจะเห็นได้จากกระแสพระราชดำรัสที่ทรงมีต่อชาวซิกข์ ในงานฉลองครบรอบ ๕๐๐ ปี ศาสนาซิกข์ซึ่งจัดขึ้น ณ โรงละครแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๒ ความว่า“…ข้าพเจ้ายินดีและพอใจที่ผู้เป็นประธานของท่านกล่าวยืนยันว่า ชาวซิกข์ในประเทศไทยได้รับความสะดวกสบาย และได้รับความอุปถัมภ์ให้มีความผาสุกร่มเย็นพร้อมมูล…”

กว่า ๖๐ ปี ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพระราชกรณียกิจภายใต้อุดมการณ์แห่งธรรมะ ที่มิได้เป็นเพียงสรณะของพระองค์เท่านั้น หากแต่ยังทรงเป็นผู้นำแห่งธรรม ออกเผยแพร่ไปสู่ทุกผู้คน ให้ได้เข้าใจถึงแก่นแท้ของหลักธรรมอย่างง่าย ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติเป็นแบบอย่าง รวมถึงพระราชทานพระบรมราโชวาทในเรื่องการประกอบคุณงามความดี ด้วยความเพียร ความอุตสาหะ และความพยายามอย่างไม่ทรงย่อท้ออยู่เสมอ ทั้งนี้ ทรงมุ่งหวังให้เกิดสังคมที่ดีอันจะนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติทำให้ในวันนี้ประเทศไทยสามารถดำรงสถานะของการเป็นศูนย์รวมทางศาสนาที่เปี่ยมด้วยสันติสุขและเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พุทธศาสนาของโลกอย่างสมภาคภูมิ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงเป็น “ธรรมราชา” ของโลกอย่างแท้จริง

1.7 พระมหากษัตริย์ศาสนูปถัมภก

7. พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระมหากรุณาธิคุณ

ระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร * หมายเหตุ : พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
โปรดกระหม่อมให้เฉลิมพระปรมาภิไธย พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระบรมชนกนาถ เนื่องในการพระราชพิธี
บรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ ตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร”
 พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เป็นพระโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันจันทร์ ที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ ณ โรงพยาบาลเมานต์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตต์ สหรัฐอเมริกา เสด็จขึ้นครอง สิริราชสมบัติต่อจาก สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ ทรงดำรงสิริราชสมบัติ ๗๐ ปี เสด็จสวรรคต เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ สิริพระชนมายุ ๘๘ พรรษา ๑๐ เดือน ๘ วัน

       เมื่อทรงพระเยาว์ ขณะมีพระชนมายุ ๕ พรรษา ทรงเข้าศึกษาระดับชั้นอนุบาล ที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร ปีพุทธศักราช ๒๔๗๖ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเชษฐภคินี และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงเข้าศึกษาต่อระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนเมียร์มองต์ (École Miremont) จากนั้น ทรงเข้าศึกษาชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนเอกอล นูแวล เดอ ลา สวิส โรมองด์ (École Nouvelle de la Suisse Romande) พุทธศักราช ๒๔๘๘ ทรงได้รับประกาศนียบัตร ด้านอักษรศาสตร์จากโรงเรียนยิมนาส คลาสสิค ก็องโตนาล (Gymnase Classique Cantonal) แห่งเมืองโลซาน จากนั้น ทรงศึกษาชั้นอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยโลซาน แผนกวิชาวิทยาศาสตร์ ในเวลาต่อมา เมื่อทรงรับสิริราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์แล้ว
ได้เสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงเปลี่ยนแผนกการเรียนเป็นวิชารัฐศาสตร์และกฎหมาย เพื่อเตรียมพระองค์ในการรับพระราชภารกิจ

     พุทธศักราช ๒๔๙๒ ทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร (พระธิดาใน พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านักขัตรมงคล กับหม่อมหลวงบัว กิติยากร) ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อเสด็จนิวัตประเทศไทยในพุทธศักราช ๒๔๙๓ แล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ ณ วังสระปทุม และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์

     พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จผ่านพิภพในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ทรงได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยตามจารึกในพระสุพรรณบัฏ ว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร
รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร”
 ในโอกาสนี้ พระราชทานพระปฐมบรมราชโองแก่ปวงชนชาวไทยว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” และ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ เป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ต่อมา พุทธศักราช ๒๔๙๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เฉลิมพระนามาภิไธย เป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ **หมายเหตุ : พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ เพื่อเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระบรมราชชนนี
ตามที่จารึกใน พระสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชนนีพันปีหลวง”

     พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระราชโอรสและพระราชธิดา รวม ๔ พระองค์ คือ

          ๑. ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระนามเดิม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์ เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๑๕

          ๒. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๑๕ เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติต่อจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ และทรงรับ
บรมราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๑๐ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยสมบูรณ์ตามโบราณขัตติยราชประเพณี เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒
เฉลิมพระปรมาภิไธยตามจารึก ในพระสุพรรณบัฏว่า “พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว”

          ๓. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อพุทธศักราช ๒๕๒๐ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนาสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ครั้งดำรงพระอิสริยศักดิ์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนราชสุดากิติวัฒนาดุลโสภาคย์ เป็นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ต่อมา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เฉลิมพระนามาภิไธยเพื่อยกย่องพระเกียรติยศเนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ ตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร มหาวชิราลงกรณ วรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี”

          ๔. สมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เป็นเจ้าฟ้าต่างกรมฝ่ายใน เพื่อยกย่องพระเกียรติยศ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ มีพระนามตามจารึก ในพระสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี”

     ตลอดรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ประชาชนชาวไทยใต้ร่มพระบารมีต่างมีความผาสุกร่มเย็น ด้วยพระมหากรุณาธิคุณและน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยในชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรที่ประสบความทุกข์ยากเดือดร้อน ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่เพื่อก่อเกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนแก่ประเทศชาติและประชาชนโดยมิทรงย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งปวง ทรงอุทิศเวลาในการเสด็จพระราชดำเนินไป ยังท้องถิ่นทุรกันดารในภูมิภาคต่างๆ เพื่อช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้น ดังที่เคยพระราชทานสัมภาษณ์แก่ผู้แทนนิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก

“…เคยมีผู้กล่าวไว้ว่าราชอาณาจักรนั้นเปรียบเสมือนปิรามิด
มีพระมหากษัตริย์อยู่บนยอดและมีประชาชนอยู่ข้างล่าง
แต่สำหรับประเทศไทยแล้วดูเหมือนทุกอย่างจะตรงกันข้าม
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกปวดคอและบริเวณไหล่อยู่เสมอ…”

     หลังจากเสด็จนิวัตประเทศไทยเมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๔ และประทับในพระราชอาณาจักรเป็นการถาวรแล้ว พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เพื่อทอดพระเนตรชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร แม้ว่าในช่วงเวลานั้นเส้นทางการคมนาคมยังเต็มไปด้วยความยากลำบาก การเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรอย่างเป็นทางการครั้งแรก เริ่มต้นขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๘ เป็นการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภาคกลาง ระหว่างวันที่ ๒๐ – ๒๑ และวันที่ ๒๗ – ๒๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๙๘ ลำดับถัดมา คือ การเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ ๒ – ๒๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๙๘ เป็นเวลา ๑๙ วัน การเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภาคเหนือ ระหว่างวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ – ๑๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๐๑ เป็นเวลา ๑๙ วัน และการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภาคใต้ ระหว่างวันที่ ๖ – ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๐๒ เป็นเวลา ๒๐ วัน ตามลำดับ นับแต่นั้นเป็นต้นมา ทรงถือเป็นธรรมเนียมที่จะเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระตำหนักในแต่ละภูมิภาค ภาคเหนือ ภูพิงคราชนิเวศน์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภูพานราชนิเวศน์ ภาคใต้ ทักษิณราชนิเวศน์ รวมทั้ง พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อทรงงานช่วยเหลือพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดารเป็นประจำทุกปี

     การเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรตามภูมิภาคต่าง ๆ ทำให้ทรงรับรู้ถึงความทุกข์ยากเดือดร้อนของราษฎร ดังเช่นเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๕ ทรงได้รับทราบถึงปัญหาและความยากลำบากในการเดินทางสัญจรของราษฎร จึงเป็น ที่มาของโครงการสร้างถนนสายห้วยมงคล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โครงการพระราชดำริด้านพัฒนาชนบทโครงการแรก ที่มุ่งช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ที่ราษฎรกำลังประสบอยู่ ต่อมา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างอ่างเก็บน้ำเขาเต่าขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำของราษฎรในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้มีน้ำจืดไว้สำหรับบริโภคและอุปโภคได้ตลอดทั้งปี นับเป็นโครงการพระราชดำริด้านชลประทานโครงการแรก หลังจากนั้น ทรงริเริ่มโครงการด้านการพัฒนาชนบทอีกหลากหลายโครงการ ทั้งโครงการที่เกี่ยวกับดิน น้ำ ป่าไม้ การประมง และการปศุสัตว์ อันเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญสำหรับการประกอบอาชีพเกษตรกรรม และยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ด้วยพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลทำให้ตลอดระยะเวลา ๗๐ ปีแห่งการครองราชย์ ประเทศไทยจึงมีโครงการพระราชดำริ/โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการส่วนพระองค์ โครงการตามพระราชประสงค์ จำนวนกว่า ๔,๐๐๐ โครงการ และมีศูนย์การศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ๖ แห่ง ในทุกภูมิภาคของประเทศ พระราชกรณียกิจที่ยังประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติและอาณาประชาราษฎร์มากมายเหลือคณานับ ได้แก่ พระราชกรณียกิจด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พระราชกรณียกิจด้านการบริหารจัดการทรัพยากรดิน พระราชกรณียกิจด้านการบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้ โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา พระราชกรณียกิจด้านการคมนาคม พระราชกรณียกิจด้านการแพทย์และการสาธารณสุข พระราชกรณียกิจด้านการศึกษา พระราชกรณียกิจด้านการศาสนา พระราชกรณียกิจด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทย พระราชกรณียกิจด้านการเจริญพระราชไมตรีกับต่างประเทศ

    พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม ทรงปฏิบัติพระองค์ดังพระปฐมบรมราชโองการที่ได้พระราชทานในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกว่า “เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” อีกทั้งทรงพระวิริยะอุตสาหะทุ่มเทกำลังพระวรกายและพระราชทรัพย์บำเพ็ญพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้น ดังพระราชดำรัสว่า “…ขาดทุนคือกำไร (Our loss is our gain)…” ซึ่งทรงขยายความว่า การลงทุนทำโครงการเพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชนนับเป็นมูลค่าเงินไม่ได้ สิ่งที่ได้คือคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนและประเทศชาติได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน

      ภาพพระราชกรณียกิจที่ปรากฏแก่สายตาประชาชนทั้งในและนอกประเทศ ตลอดระยะเวลากว่า ๗๐ ปีที่ทรงครองราชย์ ต่างรับรู้โดยทั่วกันว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนาผู้ทรงงานหนักที่สุดในโลก ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการเป็นคุณประโยชน์อเนกอนันต์แก่อาณาประชาราษฎร์ ทรงเป็นพระมิ่งขวัญและหลักยึดเหนี่ยวของพสกนิกรชาวไทย แม้เสด็จสวรรคตล่วงมาจนปัจจุบัน เหล่าพสกนิกรยังคงคำนึงถึงพระมหากรุณาธิคุณเสมอมาไม่เสื่อมคลาย และเพื่อให้วันคล้ายวันสวรรคต เป็นวันแห่งการร่วมรำลึกและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ แห่งพระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีคุณูปการอันยิ่งใหญ่แก่แผ่นดิน ประกอบวันที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็นวันแห่งการเสด็จสวรรคต ครบ ๗ ปี หรือ “สัตตมวรรษ” รัฐบาลจึงได้นำความกราบบังคมทูลพระมหากรุณาขอพระราชทานชื่อวันคล้ายวันสวรรคต และสมเด็จพระ
อริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระดำริประทานชื่อวันดังกล่าว ประกอบพระบรมราชวินิจฉัยว่า “วันนวมินทรมหาราช” ซึ่งแปลว่า วันที่ระลึกถึงพระมหาราช รัชกาลที่  ๙ ผู้ยิ่งใหญ่
การนี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กำหนดชื่อวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ว่า “วันนวมินทรมหาราช” ตามที่รัฐบาลได้ขอพระราชทานพระมหากรุณา อีกทั้ง รัฐบาลยังได้กำหนดให้วันที่ ๑๓ ตุลาคม ของทุกปี เป็น “วันนวมินทรมหาราช” ที่หน่วยราชการภาครัฐและเอกชน รวมถึงประชาชนสามารถมาวางพวงมาลาถวายราชสักการะที่พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

1.8พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระมหากรุณาธิคุณ

8.ประวัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ

ประวัติ (เดิม)

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลไทยโดย ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้ทำความตกลงกับ องค์การส่งเสริมความมั่นคงร่วมกันของสหรัฐอเมริกา (Mutual Security Agency; M.S.A.)
ส่งเสริมการเรียนการสอนด้านอาชีวศึกษาของชาติให้ดียิ่งขึ้น จึงเห็นว่าควรจัดตั้งวิทยาลัยเทคนิคในจังหวัดพระนคร โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้เยาวชนของชาติได้มีโอกาสฝึกฝนอบรมวิชาชีพอย่างกว้างขวางและ ยกระดับมาตรฐานการศึกษาให้สูงกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนั้น
ปีพุทธศักราช 2495 รัฐสภาได้อนุมัติงบประมาณ 3,961,450.- บาท จัดตั้งวิทยาลัยเทคนิคในจังหวัดพระนครขึ้น โดยกระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ใช้ที่ดินราชพัสดุบริเวณ ตำบลทุ่งมหาเมฆ เนื้อที่ 108 ไร่ เป็นที่ตั้งวิทยาลัยเทคนิค
โดยที่ดินบริเวณดังกล่าวมีคลองขนาดใหญ่ พอที่เรือสำปั้นจากแม่น้ำเจ้าพระยาจะเข้ามาได้ ปลายคลองด้านหนึ่งสามารถออกแม่น้ำเจ้าพระยาตรงช่องนนทรีในปัจจุบัน ปลายคลองอีกด้านต่อเชื่อมกับคลองสาทร
พื้นที่สองฝั่งคลองนี้เป็นเรือสวนฝั่งหนึ่ง อีกฝั่งหนึ่งเป็นทุ่งนา ฝั่งทุ่งนามีผืนนากว้างไกลยืนริมคลอง มองมุม 180 องศา จะเห็นผืนฟ้าจรดผืนนา ท้องฟ้าสีครามเต็มไปด้วยหมู่เมฆ บางวันมีเมฆขนนกเกลื่อนเต็มท้องฟ้า
บางวันเป็นเมฆก้อนใหญ่ ลอยไล่มาเป็นระยะ บางครั้งเมฆทมึนแปรปรวนเคลื่อนเข้าหาอย่างรวดเร็ว ความหลากหลายนี้เป็นที่มาของคำว่า ทุ่งมหาเมฆ
ฝั่งที่เป็นสวนนั้น เต็มไปด้วยสวนกล้วย สวนมะยม ชาวบ้านปลูกกระต๊อบกระจายห่างๆ เลี้ยงไก่ ปั่นด้าย มีบ่อเลี้ยงปลา เลี้ยงเป็ดมีการปลูกต้นพลูจำนวนมากจนเป็นชื่อของ ซอยสวนพลู
วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพฯ เปิดสอนปีแรกเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2495 ระหว่างที่ดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียน โรงฝึกงาน ได้ฝากนักศึกษาเรียนที่สถาบันอื่นดังนี้

  • แผนกวิทยุ มีนักศึกษา 27 คน ฝากเรียนที่โรงเรียนช่างกลปทุมวัน ปัจจุบันคือ สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน
  • แผนกฝึกหัดครูมัธยมอาชีวศึกษา มีนักศึกษา 13 คน ฝากเรียนที่โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย
  • แผนกช่างก่อสร้าง มีนักศึกษา 30 คน ฝากเรียนที่โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย
  • แผนกพาณิชยการ มีนักศึกษา 21 คน ฝากเรียนที่โรงเรียนพณิชยการพระนคร
    รัฐบาลฯ ได้เล็งเห็นความสำคัญของการจัดตั้งวิทยาลัยเทคนิคที่กรุงเทพฯ จึงได้ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดตั้งวิทยาลัยเทคนิคในส่วนภูมิภาคที่
  • ภาคใต้ เป็นวิทยาลัยเทคนิคภาคใต้ สงขลา ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย
  • ภาคเหนือ เป็นวิทยาลัยเทคนิคภาคพายัพ เชียงใหม่ ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นวิทยาลัยเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นครราชสีมา ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
  • ฝั่งธนบุรี จัดตั้งเป็นวิทยาลัยเทคนิคธนบุรี ปัจจุบันเป็น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และตั้งกองวิทยาลัยเทคนิค สังกัดกรมอาชีวศึกษา เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบกิจการส่วนวิทยาลัยเทคนิค

ปีพุทธศักราช 2496

  • ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นประธานในพิธีเปิดวิทยาลัยเทคนิค วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2496
  • ดร. ไอแมน ผู้เชี่ยวชาญ และ มร.ฮัตจินสัน หัวหน้าฝ่ายการศึกษาของ M.S.A. ที่มาช่วยงานเดินทางกลับ สหรัฐอเมริกา

ปีพุทธศักราช 2497

  • วิทยาลัยได้นำผลงานของนักศึกษาร่วมแสดงในงานศิลปหัตกรรมนักเรียน ณ. โรงเรียนสวนกุหลาบ
  • พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จฯ ทอดพระเนตรกิจกรรมนักศึกษาด้วยความสนพระทัย ทรงกระแสพระราชดำรัสที่จะให้วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพฯ ทดลองทำหุ่นยนต์ที่เคลื่อนไหวได้ เดินได้ พูดได้ ซึ่งได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการจัดสร้างหุ่นยนต์

ปีพุทธศักราช 2498

  • วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพฯ ได้นำหุ่นยนต์แสดงในงานศิลปหัตกรรมนักเรียน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทอดพระเนตร หุ่นยนต์และรถแทรคเตอร์ที่นักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพฯ สร้างขึ้นด้วยความสนพระทัย
  • ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานทรัพย์จัดสร้าง หุ่นยนต์ขนาดเท่าคนจริงเดินได้ตัวแรกของเมืองไทย เป็นผลงานของนักศึกษาแผนช่างวิทยุ โดยการออกแบบและควบคุมงานของ อาจารย์สวัสดิ์ หงษ์พร้อมญาติ ลักษณะของหุ่นมีหน้าและมือ เหมือนหุ่นโชว์ แขนและขา เป็นโครงเหล็ก หลังจากออกแสดงในงานศิลปหัตกรรมนักเรียนแล้ว ได้จัดทำเสื้อสวมเป็นหุ่นคุณหมอ อัดเสียงพูดเชิญชวนให้บริจาคสมทบทุนสภากาชาดไทย ในงานกาชาด ณ สถานเสาวภา พ.ศ. 2498
    สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จทอดพระเนตรกิจกรรมการปฏิบัติของนักศึกษาแแผนกวิชาช่างพิมพ์ และแผนกวิชาอุตสาหกรรมศิลป์ ในงานศิลปหัตกรรมนักเรียน ประจำปี 2498

ปีพุทธศักราช 2499

  • มหาวิทยาลัยเวนสเตท (Wayne State University) สหรัฐอเมริกา ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญ ด้านเทคนิคมาช่วยสอน จำนวน 27 คน และให้ทุนครู อาจารย์ของวิทยาลัยไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา

ปีพุทธศักราช 2503

  • สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จฯ มาวิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพฯ ให้นักศึกษาแผนกวิชาช่างภาพ ฉายพระฉายาลักษณ์ในงานเมตตาบันเทิง วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2503

ปีพุทธศักราช 2514

  • สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จฯ งานชุมนุมแม่บ้านครั้งที่ 14 ของสมาคมคหเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ ณ วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพฯ วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2514

ปีพุทธศักราช 2518

  • วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพฯ เปลี่ยนชื่อเป็น วิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพฯ สังกัดวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ

ปีพุทธศักราช 2531

  • พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล อันมีความหมายว่า สถาบันเทคเทคโนโลยีอันเป็นมิ่งมงคลแห่งพระราชา

ปีพุทธศักราช 2548

  • เปลี่ยนสถานะเป็น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. 2548

1.9ประวัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ